top of page

ทำไมต้องช่วยกันฉีดวัคซีน



รศ.ดร.จำนง สรพิพัฒน์

12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564





สถานการณ์ในปัจจุบันที่โรคโควิดระบาดอย่างรุนแรงทั้งในบ้านและรอบบ้าน จนเปรียบได้ไม่ต่างกับภัยสงครามที่ประเทศหนึ่งรุกรานอีกประเทศหนึ่ง ต่างกันเพียงแต่ว่าสงครามคราวนี้ศัตรูเป็นเชื้อโรคที่ไม่เห็นตัว ผู้ที่ทำหน้าที่สู้รบในแนวหน้าเปลี่ยนจากทหารชุดเขียวมาเป็นหมอและพยาบาลชุดขาว


ที่น่าแปลกใจก็คือ หลายคนยังไม่ตระหนักว่า ประเทศชาติอยู่ในสถานะการณ์ร้ายแรงเพียงใด ที่ทุกคนต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือประเทศชาติในยามสงคราม ที่ประเทศชาติและสังคมโดยรวมต้องชนะเท่านั้น เพราะถ้าแพ้ก็หมายถึงชีวิตของประชาชน ทรัพยากรจำนวนมากที่ต้องสูญสียไป และการพังทลายของเศรษฐกิจชนิดกู่ไม่กลับ

จะช่วยชาติให้พ้นภัยพิบัติครั้งนี้ได้อย่างไร?


ประการแรก อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ต้องไปไหน ออกจากบ้านสวมหน้ากาก ทำระยะห่างทางสังคม ที่คนส่วนใหญ่ก็ทำกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่พอครับ เพราะเป็นเพียงการตั้งรับสงครามเชื้อโรค


ประการที่สอง หากจะชนะสงครามก็ต้องทำการรุกไล่ศัตรูด้วยการฉีดวัคซีนกันทุกคน เพราะถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ร่วมใจกับฉีดวัคซีน ในระดับ70%ของประชากรไทยขึ้นไป หรือราว 50 ล้านคน หากทำไม่ได้โรคนี้ก็จะระบาดหนักต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประชาชน อีกทั้งจะมีผู้เจ็บป่วยมหาศาล ทำให้แพทย์พยาบาลมีงานหนักล้นมือไม่มีวันจบสิ้น เศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัว ผู้คนคงต้องใช้ชีวิตอย่างแสนลำเค็ญไม่มีวันจบ


หลังจากที่ดราม่ากันยกใหญ่ว่า ทำไมเมืองไทยไม่มีวัคซีนให้ฉีดกับประชาชนส่วนใหญ่เสียทีตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว บัดนี้ก็ใกล้ถึงเวลาที่วัคซีนไทยผลิตเองล๊อตใหญ่กำลังจะมาถึง แต่กลับกลายเป็นว่าคนไทยจำนวนมากกลับตื่นกลัวที่จะฉีดวัคซีนเสียนี่ รอบนี้ทางราชการเตรียมวัคซีนมาตั้ง 16 ล้านโดส แต่กลับเป็นว่าจนถึงวันนี้(11 พ.ค.2564) มีคนไทยวัยหนุ่ม (เหลือ) น้อยไปลงทะเบียนฉีดกันแค่ล้านคนเศษๆ


สาเหตุที่คนไทยกลัวการฉีดวัคซีน มีหลายสาเหตุที่สำคัญสุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัววัคซีนเอง เพราะเชื่อสื่อโซเชียลมากเกินไป แต่กลับไม่เชื่อที่อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพูด แปลกไหมครับ กลัวแพ้วัคซีนแต่ไม่กลัวตายจากโควิด ทั้งที่ถ้าป่วยหนักแล้วรอดตายก็เลี้ยงไม่โต เพราะปอดพังชนิดหายกลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้


จากสถิติทั่วโลก หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนเอสตราซิเนก้าของอังกฤษ และซิโคแวคของจีนไปแล้วหลายร้อยล้านคน พบว่ามีคนแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง แค่ราวสี่ในล้านคน (0.0004%) ตัวเลขทางสถิติบอกว่าคนฉีดวัคซีนนี้ มีโอกาสแพ้รุนแรงน้อยกว่าถูกรถชนตายหลายร้อยเท่า และที่สำคัญยังไม่ปรากฏว่ามีใครแพ้แล้วตายสักคน(0.00%) (ส่วนข่าวที่ออกมาว่ามีคนตาย การพิสูจน์ในภายหลังทั้งหมดพบว่า คนที่ตายนั้นล้วนตายด้วยโรคอื่นทั้งสิ้น แต่บังเอิญประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่คนไข้มาฉีดวัคซีนแล้วตาย แต่สื่อต่าง ๆ กลับไม่รายงานแก้ข่าวให้) ขณะที่คนที่ติดโควิดไปแล้วป่วยหนักแล้วตาย ตามสถิติมีถึงสองหมื่นคนในล้านคน (2%) ต่างกันราวสองหมื่นเท่า เห็นไหมครับว่าวัคซีนที่ฉีดกันปลอดภัยขนาดไหน


ผลกระทบที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หากคนไทยส่วนใหญ่ยังลังเลไม่ยอมออกมาฉีดวัคซีน โรคระบาดนี้ก็จะระบาดไม่มีวันสิ้นสุด เศรษฐกิจทั้งระบบก็จะพังราบ อย่าได้คาดหวังเลยครับว่า ทุกคนจะทำมาหากินมีรายได้เหมือนเดิม คนตกงานคงเต็มเมือง ถึงจุดนั้นถ้าไม่ตายด้วยโรคก็คงอดตายแทน ฉะนั้น ร่วมด้วยช่วยกันไปฉีดวัคซีนกันทุกคนเถอะครับ หากเราคิดจะเอาชนะศึกสงครามครั้งนี้

ดู 7 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page